ฎีกาวิเคราะห์
หากพูดถึงกฎหมาย ระหว่างประเทศหลายคนคงส่ายหัวไม่รู้จัก ไม่สนใจ หรือเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ในปัจจุบันเป็นยุคแห่งการค้าเสรี มีความจำเป็นต้องติดต่อ ดำเนินธุรกิจหรือทำธุรกรรมต่างๆกับชาวต่างชาติมากขึ้น เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้น จึงเกิดปัญหาว่าเราจะใช้กฎหมายใดบังคับเอากับคู่กรณี ดิฉันจึง ขอยกตัวอย่างคดีศึกษา ดังนี้
ก. ข้อเท็จจริง
จำเลยเป็นนิติบุคคลจดทะเบียน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตกลงจ้างโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติอังกฤษและมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง อีสท์ ออเรนจ์ มลรัฐนิวเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา สัญญาจ้างแรงงานที่โจทก์ทำกับจำเลยนี้ โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในประเทศไทย แล้วส่งสัญญาให้จำเลยลงลายมือชื่อในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวมีข้อตกลงว่า ให้สัญญาฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับและการตีความตามกฎหมายของมลรัฐนิวเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้และผลประโยชน์ที่ทำงานไม่ครบกำหนดตามสัญญา เสียชื่อเสียงและไม่ได้รับค่าชดเชยจากการเลิกจ้าง และโจทก์ยื่นคำคัดค้านคำให้การจำเลยว่า ข้อตกลงในสัญญาจ้างแรงงานมีข้อความที่เอาเปรียบโจทก์เกินควร ทำให้โจทก์รับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ มีลักษณะเป็นสัญญาสำเร็จรูป ขัดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ข้อ กำหนดในสัญญาจ้างแรงงานเป็นโมฆะ ไม่อาจใช้บังคับได้ ชอบที่ศาลแรงงานกลางจะรับคดีนี้ไว้พิจารณาต่อไป
ข. คำพิพากษาของศาล
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยกำหนดให้
ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นโดยวิธีอนุญาโต ตุลาการ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการให้อนุญาโตตุลาการพิจารณาระงับข้อพิพาทก่อน จึงไม่อาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางให้วินิจฉัยได้ตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบ ความ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน พิพากษา ยืน.
ค. วิเคราะห์
สัญญา จ้างแรงงานที่โจทก์ทำกับจำเลยนี้ โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในประเทศไทย แล้วส่งสัญญาให้จำเลยลงลายมือชื่อในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงถือว่าสัญญาจ้างแรงงานฉบับนี้ได้ทำขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสัญญาดังกล่าวมีหลายประเทศมาเกี่ยวข้อง จึงต้องบังคับตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 13 ดังนี้
ขั้นที่1 ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้ง หรือปริยายได้
ขั้นที่2 ถ้า คู่สัญญามีสัญชาติอันเดียวกัน กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา
ขั้นที่3 ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติอันเดียวกัน ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่ทำสัญญานั้นได้ทำขึ้น
ขั้นที่4 ถ้าไม่อาจหยั่งทราบถิ่นที่ทำสัญญา ก็ให้ใช้ กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นมีผล
ข้อยกเว้น กรณีอาจจะไม่ใช้กฎหมายขัดกัน หากมีกฎหมายที่พึงบังคับใช้ได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติข้อสัญญาไม่เป็นธรรม หากยกเอาเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเช่นนี้ขึ้นมา จึงต้องวางพ.ร.บ.ขัดกันฯลงก่อน แล้วดูว่าข้อสัญญาดังกล่าวไม่เป็นธรรมจริงหรือไม่ก่อน
แต่ ในกรณีนี้เมื่อพิจารณาสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว ได้ตกลงกันในข้อ 21 ว่า ให้สัญญาจ้างแรงงานฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับและการตีความตามกฎหมายของมลรัฐนิ วเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงต้องบังคับตามกฎหมายของมลรัฐนิวเจอร์ซี่ตามเจตนาของโจทก์และจำเลยอันเป็นคู่สัญญา และสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวข้อ 20 กำหนดให้ข้อพิพาทหรือข้อขัด แย้งที่คู่สัญญาไม่สามารถตกลงกันได้ ให้ระงับโดยอนุญาโตตุลาการของสหรัฐอเมริกาและให้ถือว่าคำชี้ขาดของอนุญาโต ตุลาการเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนของการดำเนินการฟ้องร้องคดี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวสามารถใช้บังคับได้ เพราะเป็นวิธีการระงับข้อพิพาทอย่างหนึ่งที่คู่กรณีตกลงให้บุคคลที่ไม่ใช่ ตุลาการทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแทนตุลาการในศาล ข้อตกลงนี้จึงไม่ขัดต่อพ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ดังนั้น โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาโดยต้องให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดข้อ พิพาทอันเกิดจากสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยเสียก่อน เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด โจทก์จึงยังไม่อาจเสนอคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลางได้ตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 14 ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนี้ออกเสียจากสารบบ ความ จึงชอบแล้ว
is there any other web page which presents such stuff in quality?