ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรได้กำหนดหน่วยภาษีที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ 4 หน่วย ได้แก่ บุคคลธรรมดาผู้ถึงแก่ความตายในระหว่างปีภาษี กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง และคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่มิใช่นิติบุคคล
ความหมายคำว่า “คณะบุคคล” ประมวลรัษฎากรมิได้นิยามความหมายของคำว่าคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลไว้โดยเฉพาะ กรณีจึงต้องใช้ความหมายโดยเทียบเคียงจากคำว่าห้างหุ้นส่วนสามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1025 มาใช้ ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่จำกัด ดังนั้นคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรเป็นเพียงกลุ่มบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปรวมกันเป็นหน่วยภาษีตามประมวลรัษฎากร ซึ่งมีสถานะเกี่ยวกับภาษีอากรเช่นเดียวกับบุคคล และห้างหุ้นส่วนสามัญ มีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 56 โดยผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลไม่ต้องยื่นแบบประเมินภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล แต่บุคคลหรือหุ้นส่วนในคณะบุคคลทุกคนยังมีหน้าที่รับผิดในกรณีห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลค้างชำระภาษีอากร
การคำนวณภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลมีข้อแตกต่างกับการคำนวณภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดา คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลมีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (1) (ก) สำหรับผู้เป็นห้างหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคนซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยแต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 47 (6) และเมื่อห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลได้แบ่งกำไรให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลเงินส่วนแบ่งกำไรที่หุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลดังกล่าวนั้น ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้อีกตามประมวลรัษฎากรมาตรา 42(14)