บริษัท แจกหุ้นให้แก่ลูกจ้างถือเป็นรายได้พึงประเมินหรือไม่และมีประเด็นทางภาษี อย่างไร
มาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรไทยบัญญัติว่า เงินได้พึงประเมิน คือเงินได้อันเข้าลักษณะ การเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมาย ความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้รับออกแทนให้สำหรับเงินได้ ประเภทต่างๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิด้วย
ดังนั้น คำว่าเงินได้ พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นจึงหมายถึงกรณีดังต่อไปนี้
- เงิน หรือตราสารที่มีค่าเสมือนเป็นเงินสด เช่น เช็ค
- ทรัพย์สิน ซึ่งอาจคิดได้เป็นเงิน เช่น กรณี ที่ลูกจ้าง พนักงาน หรือ กรรมการบริษัทได้รับหุ้นจากนายจ้างโดยลูกจ้างไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่าย ในทางภาษีก็ถือว่าลูกจ้าง พนักงาน หรือกรรมการเหล่านั้นมี เงินได้พึงประเมินเททากับมูลค่าหุ้นที่แต่ละท่านได้รับ เป็นต้น
- ประโยชน์อื่นที่ได้ รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เช่น สวัสดิการอาหารที่นายจ้างจัดให้แก่พนักงานย่อมถือเป็นประโยชน์เพิ่มของ ลูกจ้าง โดยให้คำนวณมูลค่าจากรายจ่ายค่าอาหารของนาย จ้างเป็นเงินได้พึงประเมินของลูกจ้าง หรือ ค่าแห่งอาคารที่เจ้าของที่ดินได้รับกรรมสิทธิ์จากการทำสัญญาให้ผู้อื่นเช่า และทำการปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของตน โดยผู้ปลูก สร้างยกกรรมสิทธิ์ในอาคารที่ปลูกสร้างให้แก่เจ้าของที่ดินเมื่อสร้างเสร็จ เป็นต้น
- เงินภาษีอากรที่จ่าย หรือผู้อื่นออกให้ไม่ว่าทอดใด ๆ
- เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ
สำหรับหุ้นที่บริษัทซึ่ง เป็นนายจ้างได้ให้แก่ลูกจ้าง ถือเป็นเงินได้พึง ประเมินประเภทหนึ่งตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะเป็นทรัพย์สินที่อาจคิดได้ เป็นตัวเงิน ฉะนั้นกรณีที่ บริษัทซึ่งเป็นนายจ้างแจกหุ้นให้แก่ลูกจ้างของตนเอง ต้อง ถือเป็นเงินได้ที่ลูกจ้างได้รับจากบริษัทนายจ้างเท่ากับมูลค่าหุ้นที่ได้รับ เช่น บริษัท แห่งหนึ่งได้แจกหุ้นของบริษัทให้แก่นาย ก ซึ่งเป็น ลูกจ้างของตนจำนวน 20,000 หุ้น หุ้นแต่ละหุ้นมีมูลค่าหุ้น ละประมาณ 100 บาท ดังนั้นนาย ก จึงมีเงินได้พึง ประเมินจากการจ้างแรงงานเกิดขึ้นเท่ากับ 2,000,000 บาท (จำนวนหุ้นทั้งหมดคูณด้วยมูลค่าต่อหุ้น) ทั้ง นี้ไม่ว่าหุ้นดังกล่าวจะมีเงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายโอนหรือไม่และไม่ ว่าหุ้นดังกล่าวจะเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หรือนอกตลาดหลัก ทรัพย์ และเนื่องจากมูลค่าของหุ้นมีราคาขึ้นลงอยู่ เสมอจึงต้องใช้ราคาหุ้นในวันที่ลูกจ้างได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้น
ปัญหามีว่า เมื่อ บริษัทซึ่งเป็นนายจ้างให้หุ้นแก่ลูกจ้างแล้ว ต่อมา ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง และบริษัทต้องการเอาหุ้นคืน หากลูกจ้างต้องคืนหุ้นดังกล่าวให้แก่นายจ้าง ลูกจ้างมีสิทธิขอคืนภาษีเงินได้ที่ได้ชำระไปแล้วได้หรือ ไม่ ?
กรมสรรพากรเห็นว่า ลูกจ้าง ไม่มีสิทธิขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้ชำระไปแล้วคืนจากกรมสรรพกร ฉะนั้นก่อนที่ลูกจ้างจะยอมรับหุ้นที่บริษัทแจกให้ ลูกจ้างควรที่จะทำความเข้าใจกับเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยน หรือข้อตกลงพิเศษที่บริษัทกำหนดให้ลูกจ้างพึงปฏิบัติในอนาคตก่อนเพราะถ้าต่อ มาลูกจ้างทำผิดเงื่อนไขและถูกบริษัทริบหุ้น ลูกจ้าง จะขอภาษีคืนจากกรมสรรพกรมิได้
ส่วน บริษัทซึ่งเป็นผู้แจกหุ้นให้ลูกจ้างนั้น บริษัทย่อม ไม่มีเงินได้เพิ่มขึ้นเพราะบริษัทไม่ได้รับประโยชน์อันคำนวณได้เป็นเงินจาก การแจกหุ้นให้แก่ลูกจ้างของตน ตรงกันข้าม บริษัทกลับมีรายจ่ายเกิดขึ้นแทน ปัญหามีว่ารายจ่ายของบริษัทที่แจกหุ้นให้ลูกจ้าง จะนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้หรือไม่ ?
หากบริษัทมีระเบียบหรือ ข้อผูกพันกับลูกจ้างไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้แน่นอนในเรื่องการแจกหุ้น บริษัทย่อมนำรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการแจกหุ้นให้แก่ ลูกจ้างมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ ฉะนั้นบริษัทควรที่จะต้องตรวจสอบก่อนว่าบริษัทมีระเบียบ หรือข้อผูกพันเรื่องการแจกหุ้นให้กับลูกจ้างไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ ก่อนที่บริษัทจะแจกหุ้นให้แก่ลูกจ้างของตน แต่ใน กรณีที่บริษัทไม่ได้มีระเบียบหรือข้อผูกพันที่จะต้องแจกหุ้นให้แก่ลูกจ้าง บริษัทจะไม่สามารถนำรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการแจกหุ้นมา ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีของบริษัทได้เพราะการให้โดย เสน่หาโดยไม่มีภาระผูกพันที่ต้องให้จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีไม่ได้