สวัสดีครับคุณผู้อ่าน ทุกท่าน สำหรับฉบับนี้ กระผมขออธิบายกฎหมายแรงงานต่อจากฉบับที่แล้ว เพื่อเป็นการเอาใจผู้ใช้แรงงานนะครับ และยิ่งผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ชะลอลง มีการลดการจ้างงานไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ ปัญหาการว่างงานอาจเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน และแนวโน้มจะเกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ
กระผมขอเป็นแรงใจให้ผู้ใช้แรงงาน สู้ต่อไป อย่า ท้อถอย
ภาพจาก www.sanook.com
จากฉบับที่แล้วกระผมได้อธิบายว่า เมื่อลูกจ้างถูกเลิกจ้างจะได้รับ คือ ค่าชดเชย โดยคำนวณตามอัตราจำนวนวัน เวลาที่ทำงานนะครับ แต่ตามเงื่อนไขของกฎหมายแรงงานนั้น ลูกจ้างจะได้รับเงินค่าชดเชยก็ต่อเมื่อเป็นการเลิกจ้าง ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า
“การเลิกจ้างตามมาตรานี้ หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุ ที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป ”
จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ได้อธิบายพฤติการณ์ที่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างไว้ หรือ อธิบายว่า พฤติการณ์อย่างไร ที่ถือว่านายจ้างเลิกจ้างแล้วเราจะได้รับเงินค่าชดเชยนั่นแหละครับ อันนี้สำคัญ ต้องพิจารณาให้ดีนะครับ อาจถูกเลิกจ้างแล้วไม่ได้รับเงิน
พฤติการณ์ตามกฎหมายดังกล่าวที่ถือว่าเป็นการเลิกจ้าง มี ๒ กรณี นะครับ
๑. การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดของสัญญาจ้างหรือเพราะเหตุอื่นใด กรณีนี้หมายถึง ไม่ว่านายจ้างจะทำอย่างไรก็ตามต่อลูกจ้างที่เป็นการแสดงว่านายจ้างมีเจตนาไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้าง เช่น ไม่ยอมให้ลูกจ้างเข้าทำงานในบริษัท และไม่จ่ายค่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานนั้น จะเกิดขึ้นด้วยเหตุใดก็ตามนะครับ เช่น นายจ้างขาดทุนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา
๒. กรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป เช่น โรงงานถูกไฟไหม้หมด นายจ้างถูกสั่งปิดกิจการ เจ๊ง อะไรทำนองนี้นะครับ ก็ต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้างด้วย
จากพฤติการณ์ทั้ง ๒ กรณีดังกล่าว นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเพราะถือว่าเป็นการเลิกจ้าง ทั้งนี้ต้องพิจารณาพฤติการณ์ตามข้อเท็จจริงและแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา นะครับ
ตอนนี้ฝ่ายลูกจ้างคงเข้าใจและสบายใจนะครับ ได้รับเงินค่าชดเชยแน่ ๆ
ภาพจาก www.tca.or.th
แล้วมีข้อยกเว้นไหมที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พฤติการณ์ข้างต้น
มีครับ ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสาม และวรรคสี่ บัญญัติว่า
“ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่ นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น
การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาตามวรรคสาม จะกระทำได้สำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการ ค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอนหรือใน งานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด หรือความสำเร็จของงาน หรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปีโดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำ สัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง “
จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามมาตรา ๑๑๘ มี ๒ กรณี คือ
๑. ลูกจ้างซึ่งมีระยะเวลาในการทำงานน้อย หรือ ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันมาแล้วไม่ครบ ๑๒๐ วัน
๒. ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน และเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น เช่น นายจ้างทำสัญญาจ้างกำหนดวันเวลา เริ่ม สิ้นสุดการจ้างไว้ โดยลูกจ้างทำงานประเภทหนึ่งประเภทใด ๓ ประเภท ดังนี้
๒.๑ ทำงานตามโครงการ เป็นงานตามโครงการที่ไม่ใช่งานตามปกติของธุรกิจนายจ้าง
๒.๒ ทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว
๒.๓ ทำงานที่เป็นไปตามฤดูกาล
โดยงานทั้ง ๓ ประเภทดังกล่าวจะต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปี
สำหรับฉบับนี้ เอาใจฝ่ายลูกจ้างนะครับ แต่สำหรับฉบับหน้า ทั้งฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายนายจ้างก็อย่าพลาด เพราะกระผมจะขออธิบายข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
หากคุณผู้อ่านสนใจข้อมูลกฎหมายแรงงานที่แก้ไขใหม่ หรือมีข้อกฎหมายสอบถามเพิ่มเติม โปรดแจ้งอีเมลล์ไว้ที่ boonchuay@npolaw.co.th สวัสดีครับ
บุญช่วย สิทธิธรรม
ทนายความ