สัญญาแฟรนไชส์มีภาระภาษีอย่างไร
สัญญาแฟรนไชส์ คือ ระบบการทำธุรกิจระหว่างบุคคลสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือผู้ให้สิทธิทางการค้าหรือแฟรนไชส์เซอร์เป็นเจ้าของสินค้า เครื่องหมายการค้า และระบบธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งมักเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ ทำการขยายกิจการโดยยอมให้ผู้รับสิทธิทางการค้าหรือแฟรนไชส์ซี่
โดยผู้ให้สิทธิทางการค้า หรือแฟรนไชส์เซอร์จะเป็นผู้วางแผนการขายและรูปแบบการจัดการให้ โดยที่แฟรนไชส์ซี่จะดัดแปลงธุรกิจตามใจชอบมิได้ ถ้าจะดัดแปลงต้องขออนุญาตจากแฟรนไชส์เซอร์ก่อน เพราะเนื่องจากแฟรนไชส์เซอร์ต้องการควบคุมคุณภาพสินค้า และบริการให้เป็นมาตรฐานเดี่ยวกัน และแฟรนไชส์ซี่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่แฟรนไชส์เซอร์โดยอาจจ่ายในรูปของค่าธรรมเนียม ค่ารอยัลตี้หรือค่าสิทธิโดยปกติคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของแฟรนไชส์ซี่ แฟรนไชส์บางแห่งอาจคิดค่าโฆษณาร่วมกับแฟรนไชส์ซี่บางครั้ง แฟรนไชส์เซอร์อาจร่วมลงทุนกับแฟรนไชส์ซี่ด้วย
ดังนั้นจึงมีค่าสิทธิซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(3) เมื่อมีการจ่ายและรับเงินกันตามเงื่อนไขที่สัญญาแฟรนไชส์กำหนดไว้ ย่อมเกิดภาระภาษี ภาษีที่เข้ามาเกี่ยวข้องแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ
1. ภาษีทางตรง คือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล
2. ภาษีการบริโภคหรือภาษีทางอ้อม หรือก็คือภาษีมูลค่าเพิ่ม นั้นเอง