พยามยามตามความเข้าใจของคนทั่วไปอาจหมายถึง ความต้องการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ เมื่อได้ลงมือกระทำแล้วแม้ไม่ประสบความสำเร็จก็ถือว่ามีความพยายามหรือได้ใช้ความพยายามแล้ว แต่ในทางกฎหมาย “พยามยาม” มี 2 ประเภท คือ พยามธรรมดา กับ พยายามที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ในวันนี้จะยังไม่อธิบายถึงประเภทของ “พยายาม” ตามความหมายของกฎหมายทั้งสองประเภท แต่จะพูดถึง “พยายามธรรมดา” เพียงประเภทเดียว
“พยายามธรรมดา” หรือ “พยายาม” เฉยๆนั้น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 บัญญัติว่า “ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่ การกระทำไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าว แสดงว่ากฎหมายบัญญัติว่า แม้เพียงการพยายามกระทำความผิด ก็เป็นความผิดตามกฎหมายและต้องได้รับโทษแล้ว
ความสำคัญที่จะดูว่า การกระทำอย่างไรถึงขึ้นเป็นพยามยามหรือยัง ต้องดูว่ามีการลงมือกระทำความผิดหรือยัง เพราะตามบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติว่า “ผู้ใดลงมือกระทำความ ผิด แต่กระทำไปไม่ตลอด...” แสดงให้เห็นว่าต้องมีการลงมือ กระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ถึงที่สุด หรือกระทำไปถึงที่สุดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล ตัวอย่างง่าย ๆ เช่นเอาปืนยิงผู้อื่น แต่คนถูกยิงไม่ตาย คนยิงก็อาจผิดเพียงพยายาม
อธิบายอย่างนี้ ฟังดูเหมือนง่าย แต่หากเป็นคดีขึ้นศาลจริง ๆ ก็ไม่ง่ายนะครับ เพราะเพียงแต่จะพิจารณาว่า การกระทำความผิดนั้น ๆ มีการกระทำถึงขั้นลงมือหรือยัง ก็ต้องพิจารณากันถึงสามศาลละครับ
ดัง ตัวอย่างที่ศาลฎีกาเพิ่งจะตัดสินเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นเรื่องการขายและส่งมอบยาเสพติด ตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาปรากฏว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการตรวจค้นจับกุมยังมิได้มีการส่งมอบกัญชาต่อกัน กัญชาจำนวนมากยังอยู่ในกระสอบ ยังไม่ได้แบ่งกัญชาที่จะส่งมอบออกจากกัญชาทั้งหมด ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์ ดังกล่าวยังมีขั้นตอนอีกหลายกระบวนการกว่าจะส่งมอบกัญชาที่จะทำการซื้อขายกัน จึงยังไกลเกินกว่าจะที่รับฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายกัญชา ศาลฎีกาจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยไป
Nitirathaphum Law Office